ฉันเกิดในหมู่บ้าน
393

ฉันเกิดในหมู่บ้าน

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่าง ไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของ ฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลาง แดดที่ร้อนระอุ
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปีวันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกัน
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉัน กับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้า หากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้าน ไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ย ขึ้นว่า
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้อง โดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'พ่อชู ก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อ มือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า'ผม ขโมยเองครับ'
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลง บนหลังของน้องของฉันอย่างต่อ เนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อยพ่อนั่ง ลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชาย ของฉัน' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อยก ลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเอง ไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอก ความจริงกับพ่อหลายปีผ่านไป
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่ง เกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่ อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่ เขาปกป้องฉันได้เลย
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังห วัดเช่นกัน
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวน หลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูด ว่า ' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมาก นะ'
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า'แล้วเราจะส่งเสียลูก ทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเรา ก็ไม่ค่อยมีเงิน'
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหา พ่อ แล้วพูดว่า' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้อง ของฉันฉาดใหญ่'ทำไมถึงคิด โง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอ ทานข้างถนน
พ่อก็ จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'คืน นั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน
ฉัน ค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชาย เบาๆ และคิดว่า' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไป ได้'
แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้ม เลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไป ได้ใครจะรู้ได้ .......
วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของ ฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้ง เสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประ ทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อ ความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉัน กำลังหลับ
' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่ง เงินมาให้พี่'
ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความ ของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ........ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ไป
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้ รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงาน เป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อ สร้างท่าเรือ ........
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยา ลัยได้จนถึงปี 3วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามา บอกว่า 'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอก แน่ะ'ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉัน ล่ะ ???
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชาย ของฉันยืนอยู่ตัวของเขาเปรอะ เปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทราย จากงานก่อสร้าง....
ฉันถามเขาว่า 'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'น้องชายข องฉันตอบยิ้มๆ ว่า
'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืน บอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพ อดี'
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้ น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆ ในลำคอ' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้อง ชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่ เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วเมื่อเข้า ไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาด ขึ้นมาก
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อม กระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้าน หรอกนะคะ'แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า ' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับ มาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่ เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ย นกระจกบานใหม่น่ะ'ฉันรีบเข้า ไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อย เล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็น บาดแผลบนมือฉันจับมือน้อง เอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'
ฉันถาม'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำ งานหรอกนะและ...'น้องชายของ ฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
เพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหล อาบหน้าของฉันอีกครั้ง'เพราะ พี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไป อยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวน ให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ ในเมืองด้วยกัน....แต่ท่าน ทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่งแต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตใน หมู่บ้านตามเดิมน้องชายของ ฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะ ให้เขาและพ่อแม่ย ้ายออกไป ....
เขาบอกกับฉันว่า'พี่คอยอยู่ดูแล พ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้น เถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้ เอง'
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบ ริษัทของ ครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้อง ชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้ จัดการบริษัท....
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแห น่งนี้เขาขอเข้าทำงานในตำแห น่งพนักงานธรรมดาวันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้น ไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบ หามส่งโรงพยาบาลฉันและสามี รีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือก ที่ขา.... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้อง มาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดู ตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่ แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสี หน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความ คิดเดิมของเขา
'พ ี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไป หมด'น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวม ทั้งสามีของฉันด้วย ......
ฉันบอกกับน้องว่า'แต่ที่เธอไม่ ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...''ทำไม ต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไป แล้วด้วยล่ะครับ'
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำ งานที่เดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉัน ว่า
' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิต นี้'น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' ......
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉ ันยังจำไม่ได้'ตอนผมอยู่โรงเรียน ประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.เพื่อเดินไปเรียน...และเดิน กลับบ้าน
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผม ทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอ ข้างหนึ่งและเธอก็ใส่ถุงมือ เพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะ ทางไกล
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดง เพราะอากาศหนาวเธอไม่สามา รถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ........นับจากวันนั้น
ผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของ ผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
และจะทำดีกับเธอ'เสียงปรบมือดัง กึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของ แขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ........ 'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึก ขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตา ของฉันอีกครั้ง...
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวัน ในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะ คิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสัก คนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมาย มากอย่างคาดไม่ถึง... ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
หรือ แม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม จบบริบูรณ์....ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่ บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า'ซัมซุง'
และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคี ยว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง



INSURANCETHAI.NET
Line+