ปลาฉลามไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ?
407

ปลาฉลามไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ?

ปลาฉลามไม่เป็นมะเร็งจริงหรือ?
เว็บของ Shark Foundation ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปลาฉลาม โดยเน้นให้ความรู้ว่าทำไมปลาฉลามถึงจะสูญพันธุ์ ทั้งที่เนื้อมันก็ไม่เห็นอร่อย เหม็นคาวสุดๆ จนกระทั่งเวลาคนไอร์แลนด์จะกินปลาฉลามต้องใช้วิธีเอาเนื้อปลาไปฝังดินใน บริเวณห่างไกลผู้คนสัก 3-4 เดือน จากนั้นจึงไปขุดมากิน นัยว่าเพื่อให้แบคทีเรียในดินทำการหมักปลาให้เนื้อยุ่ยและลดกลิ่นคาวลงบ้าง ดูคล้ายการทำปลาเค็มบ้านเรานั่นเอง

ก็ในเมื่อเนื้อปลาฉลามไม่อร่อย ทำไมจึงมักมีคนจับมันขึ้นมาจากทะเล คำตอบคงอยู่ที่หูปลา ที่ความจริงก็ไม่ใช่หู เพราะฉลามไม่มีหู มีแต่ครีบที่คนจีนมีความเชื่อว่า ครีบปลาฉลามนั้นเป็นอาหารที่ทรงคุณค่าต่อสุขภาพกาย ทั้งที่ไม่เคยมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เลย

เนื่องจากมันคือ ครีบ ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นโปรตีนชนิดคอลลาเจน ที่มีคุณลักษณะเป็นโปรตีนไม่สมบูรณ์ มีประโยชน์ต่ำมากทางโภชนาการ รสชาติก็งั้นๆ เวลาคนกินครีบปลาฉลามแล้วรู้สึกว่าอร่อยนั้นเข้าใจว่าเป็นเพราะครีบปลานั้น ถูกต้มในน้ำซุปอย่างดี จนครีบปลาดูดซับความอร่อยเข้าไป ถ้าพูดให้เห็นภาพก็คือ มันอร่อยไม่ต่างไปจากรังนกไม่ใส่น้ำตาลสักเท่าไรหรอก ไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองหาครีบฉลามมาต้มน้ำเปล่ากิน...ก็จะรู้สึกถึงความจริง ที่ควรเป็น

นอกจากมีดีที่หูหรือครีบแล้ว กระดูกอ่อนปลาฉลามก็เป็นสาเหตุของความตายของปลาประเภทนี้ เรามักพูดว่า ปลาหมอตายเพราะปาก (เพราะมันชอบฮุบน้ำคนเลยรู้ว่ามันอยู่ตรงไหน) แต่ปลาฉลามตายเพราะกระดูก ดังนั้นในบทความตอนนี้จึงจะคุยกันถึงเรื่องกระดูกอ่อนปลาฉลาม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของกระดูกปลาฉลามเกี่ยวเนื่องกับมะเร็ง

มะเร็ง เป็นสาเหตุที่ทำให้คนกลัวมากกว่ากลัวผี เพราะถ้าเป็นแล้ว โอกาสเป็นผีเร็วกว่ากำหนดก็อาจเกิดได้ไม่ยาก ดังนั้นขณะที่ใครสักคนเป็นมะเร็ง ถ้ามีใครอีกสักคนมาหยิบยื่นอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วบอกว่า บำบัดมะเร็งได้ ถึงแพงอย่างไร ถ้ามีสตางค์ ก็คงยอมจ่าย

ก้างปลาฉลาม หรือกระดูกอ่อนปลาฉลาม ก็เป็นอะไรอย่างหนึ่งที่มีคนกล่าวถึงเมื่อมองหาอะไรสักอย่างมาสู้มะเร็ง และปัจจุบันนี้ก็ได้มาถึงเมืองไทยแล้วครับท่าน เพราะมีคนกล่าวถึงความมหัศจรรย์ของกระดูกอ่อนปลาฉลามในอินเทอร์เน็ตแบบว่า หน่วยราชการที่รับผิดชอบได้แต่ทำตาปริบๆ

ประเด็นอยู่ที่ว่า มันบำบัดมะเร็งได้จริงหรือ ผู้เขียนลองเข้าไปค้นเรื่องกระดูกอ่อนปลาฉลามในเน็ตก็ได้ข้อมูลทั้งสองด้าน คือ เชื่อและไม่เชื่อ

ลองดูด้านที่เชื่อว่าก้างปลาฉลามสู้มะเร็งได้ จากเว็บขายก้างปลาเว็บหนึ่งเขียนว่า "Shark Cartilage หรือกระดูกอ่อนปลาฉลามป้องกันมะเร็งอาศัยหลักว่า เซลล์มะเร็งจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเส้นเลือดฝอยขึ้นมาใหม่ เพื่อนำเอาอาหารมาหล่อเลี้ยง ทำให้เซลล์ที่ผิดปกติแบ่งตัวอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ร่างกายจะควบคุมได้ เกิดเป็นก้อนเนื้อมะเร็งขึ้นมา Shark Cartilage มีผลยับยั้งการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ๆ ที่ไปเลี้ยงเซลล์ที่ผิดปกตินี้ (Antiangiogenesis) ทำให้เซลล์เหล่านั้นขาดสารอาหาร และไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีก ลดการอักเสบของข้อหรือผิวหนัง การที่ Shark Cartilage ลดการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ๆ นี้จึงสามารถลดการอักเสบของข้อและผิวหนังลงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาปวดและอักเสบของข้อและผิวหนัง เช่น Rheumatoid, Eczema, Psoriasis เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย; โดยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มการสร้างสารภูมิคุ้ม กันของร่างกาย จึงนับได้ว่าShark Cartilage มีประโยชน์มหาศาล นอกจากจะมีประโยชน์ต่อปลาฉลามเองแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เราในปัจจุบันนี้ ซึ่งต้องเผชิญกับมลภาวะสารพิษ สารก่อมะเร็ง ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน Shark Cartilage จึงทำให้คุณเผชิญสภาวะในปัจจุบันได้อย่างมั่นใจมากขึ้น บำรุงผิวพรรณและข้อต่อต่างๆ โดยสาร Chondroitin Sulfate ช่วยในการสร้าง Collagen ซึ่งช่วยในการ บำรุงผิวพรรณ บำรุงขัอต่อต่างๆ ทำให้แข็งแรงขึ้น"

อ่าน แล้วท่านอาจเคลิบเคลิ้มได้ เพราะข้อความที่กล่าวนั้นมีทั้งส่วนที่น่าจะเป็นจริง และส่วนที่น่าเคลือบแคลง มีแพทย์หญิงท่านหนึ่งเคยให้ความเห็นไว้ในเน็ตโดยฟันธงไว้เลยว่า ไม่มีความเป็นจริงแต่อย่างไร ไม่น่าเชื่อถือ เพราะถ้าเป็นจริง คนที่พบควรได้รับรางวัลโนเบลในฐานะผู้ประสบความสำเร็จในการรักษามะเร็ง

มี ข้อสังเกตในเว็บที่เชื่อเรื่องก้างปลาฉลามรักษามะเร็งได้คือข้อความว่า "Shark Cartilage มีผลยับยั้งการสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ๆ ที่ไปเลี้ยงเซลล์ที่ผิดปกตินี้ (Antiangiogenesis) ทำให้เซลล์เหล่านั้นขาดสารอาหาร และไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้อีก" ซึ่งถ้าถามผู้ที่ศึกษาทางด้านเซลล์วิทยา หรือด้านมะเร็งโดยตรง อาจได้คำตอบว่า มันอาจจะถูก แต่...ก่อนอื่นต้องขอเล่าถึงเรื่องที่เกี่ยวกับกระดูกอ่อนต้านมะเร็งก่อนว่า มีความเป็นมาอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการศึกษากันมานานพอดู คือ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติได้ไม่นาน

ขอให้สังเกตว่า ผู้เขียนใช้คำว่า กระดูกอ่อน เฉยๆ โดยไม่ระบุว่ามาจากสัตว์อะไร ทั้งนี้เพราะ Dr. Judah Folkman ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านการศึกษาเรื่องสารต้านการเจริญของเซลล์มะเร็งนั้นเป็น ผู้ค้นพบว่า การที่เซลล์มะเร็งสามารถเจริญเติบโตในผู้ป่วยอย่างรวดเร็วเป็นเพราะเซลล์ มะเร็งนั้น สามารถสร้างสารไปกระตุ้นให้เส้นเลือดใหญ่สร้างเส้นเลือดฝอยเพื่อส่งสารอาหาร ไปเลี้ยงเซลล์มะเร็งมากเป็นพิเศษด้วยกระบวนการที่เรียกว่า angiogenesis จนสุดท้ายผู้ป่วยจะเกิดอาการขาดอาหาร

จากการค้นพบของ Dr. Judah Folkman นี้ แรกๆ ก็ไม่มีใครเชื่อ จึงนำไปสู่ความพยายามของ Dr. Judah Folkman ที่พยายามหาทางพิสูจน์ โดยศึกษาหาทางยับยั้งกระบวนการนี้ และได้ประสบความสำเร็จเมื่อทีมงานค้นพบว่า สารที่สกัดจากกระดูกอ่อนของวัวสามารถยับยั้งได้

จากคลิปวิดีโอเรื่อง การศึกษาของ Dr. Judah Folkman ซึ่งมีในเว็บของมหาวิทยาลัยมหิดล (คนนอกมหาวิทยาลัยอาจเข้ายากหน่อยครับ) แสดงการจำลองเหตุการณ์การสกัดสารจากกระดูกวัวตรงส่วนที่เป็นกระดูกอ่อน (cartilage) โดยทีมงานซึ่งคงเป็นนักศึกษาปริญญาโท-เอก นับสิบขึ้นไป สกัดได้สารออกมานิดเดียว แต่มีความสามารถในการหยุดการเจริญของเซลล์มะเร็งได้ในหลอดทดลอง

ข้อมูล เกี่ยวกับ Dr. Judah Folkman ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2008 ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปดูพร้อม download วิดีโอคลิปอีกหลายเรื่องได้ที่ http://www.childrenshospital.org/

แล้วทำไมต้องกระดูกอ่อนปลา ฉลาม...?  นี่เป็นคำถามแรกที่ทุกคนมักถาม เป็นเพราะว่า ปลาฉลามไม่เคยเป็นมะเร็งอย่างที่มีการโฆษณาใช่หรือไม่

คำตอบก็คงไม่ ใช่ เพราะเวลาเป็นมะเร็งปลาฉลามมันคงไม่สามารถขึ้นบกมาสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ และส่วนใหญ่ปลาฉลามที่เจอคน ก็มักตายภายหลังในสภาพพิการแขนขา คือ ถูกตัดครีบไปให้คนกิน ที่สำคัญ Shark Foundation ได้บอกว่า ปลาฉลามก็เป็นมะเร็งได้เช่นกัน

ปัจจุบันมีปลาฉลามกว่า 42 สายพันธุ์ที่พบว่าเป็นมะเร็งได้หลายแบบซึ่งรวมถึง chondromas ซึ่งก็คือ มะเร็งกระดูกอ่อนนั่นเอง ถ้าคนขายก้างปลาไม่เชื่อก็ลองไปอ่านบทความวิจัยในวารสาร Cancer Research ประจำเดือนธันวาคม ปี 2004 ดู

สิ่งที่น่าสังเวชสำหรับปลาฉลามก็คือ มันเป็นปลาที่มีก้างเป็นกระดูกอ่อนทั้งตัว ดังนั้น กรรมจึงมาเยือนปลาฉลาม เพราะมีศาสตราจารย์คนหนึ่งของ MIT ในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยในด้านการเตรียมสารสกัดจากก้างปลาฉลาม แล้วทำให้แห้งเป็นผงด้วยวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาคุณภาพของสารคือ freeze drying ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับการทำกาแฟผงสำเร็จรูปสูตรที่มีราคาแพงๆ นั่นเอง

ศาสตราจารย์ท่านนั้น เมื่อค้นพบกระบวนการสกัดสารที่คิดว่ามีประโยชน์ในการบำบัดมะเร็งได้แล้ว ก็ได้กระทำการเฉกเช่นนักวิจัยหลายคนในเมืองไทยทำคือ จดสิทธิบัตรแล้วลาออกจากมหาวิทยาลัยไปหากินส่วนตัว เพื่อความร่ำรวยของตนเอง เพราะสามารถขายลิขสิทธิ์ได้

อย่างไรก็ดี ผงสกัดจากก้างปลาฉลามที่มีขายทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำจากวิธีการของอาจารย์จาก MIT ท่านนั้น จึงมีข้อมูลจาก wikipedia ในเรื่องก้างปลาฉลามนี้ว่า

ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2000 บริษัท Lab Lane ซึ่งเป็นของ William Lane นายกสมาคมผู้ผลิตปลาป่นแห่งสหรัฐอเมริกา (American Fish Meal Trade Association) ได้ถูกตัดสินให้จ่ายค่าปรับเป็นเงิน 1 ล้านเหรียญ เพราะทำการค้าที่ไม่ยุติธรรม และในปี 2004 บริษัทนี้ก็ถูกสั่งให้เลิกโม้ในการส่งเสริมการขายกระดูกอ่อนปลาฉลามยี่ห้อ BeneFin ว่าสามารถรักษามะเร็งได้ เพราะไม่เคยทำการวิจัยว่าสินค้ารักษามะเร็งได้ และที่สำคัญคือ ในปี 2007 ก็มีข่าวเศร้าว่า ผลการทำการศึกษาในคนไข้สองการศึกษาโดยใช้ก้างปลาฉลามป่นยี่ห้อหนึ่งมีความ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

สำหรับท่านผู้ไม่มีสตางค์พอ หรือไม่คิดว่าจะฉลาดน้อยจนไปซื้อสารสกัดจากก้างปลาฉลามมากิน ผู้เขียนขอแนะนำว่า ท่านกินผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ก็จะได้สารที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้ สารนั้นคือ เจ็นนิสตีน (genistine) ซึ่งถ้ากินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองอย่างเหมาะสม ก็จะได้ประโยชน์ในด้านการป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมเป็นอย่างดี



ที่มา มูลนิธิโลกสีเขียว
โดย รศ.ดร. แก้ว กังสดาลอำไพ
http://www.greenworld.or.th/



INSURANCETHAI.NET
Line+