เทคนิคการขายความคิด
708

เทคนิคการขายความคิด

การขายความคิด

ดร.วิชัย ว่องศิลป์วัฒนา

กูรูด้านการขายและเจรจาต่อรอง

www.VichaiSalesAcademy.com

www.facebook.com/โรงเรียนนักขายและเจรจาต่อรอง



      บทความฉบับก่อนผมพูดถึงเทคนิคการขายความคิดไปแล้ว 6 วิธีในฉบับนี้เราจะมาคุยกันต่อถึงวิธีการดึงโลกมาอยู่ฝ่ายเดียวกับคุณด้วยวิธีการขายความคิดที่น่าสนใจและได้ผลต่อกันครับ

เทคนิคที่ 7 : Love me love my dog

      มาที่หัวข้อ Love me love my dog เป็นเพลงเก่าแต่อมตะร้องโดยเชลลี่ (Shelly) คำว่า dog ในที่นี้หมายถึงอะไรก็ได้ที่ลูกค้าชอบ เช่น รถยนต์ ฟุตบอล แล้วแต่ความสนใจของเขา ถ้าเขารู้ว่าเราก็ชอบสิ่งเดียวกันกับเรา เราก็สามารถขายความคิดให้กับคนที่ชอบสิ่งเดียวกันได้ง่ายเขาจะฟังคุณพูดมากขึ้นด้วย แต่ถ้าเกิดขัดแย้งหรือเห็นแตกต่างเขาจะมานั่งเถียงกับเราก่อนจนสุดท้ายก็ขายความคิดเขาไม่ได้เพราะคิดคนละอย่างกัน

เทคนิคที่ 8 : สะกดจิต อาวุธของนักขาย

      การสะกดจิตเป็นการพูดซ้ำๆ และพูดจากคนหลายคน  เช่น ถ้าหลายคนแกล้งพูดว่า “คุณนิสัยไม่ดี” พูดเรื่องนี้ 4-5 คนอาจกลายเป็นว่าในสายตาของคนอื่นที่ได้ยินว่าคุณเลวจริงเลยนะแม้เรื่องจริงๆอาจไม่ใช่แบบนั้นเลย

      การสะกดจิตเป็นเรื่องใหญ่มากครับ อย่างกรณีคดีหมอชื่อดังที่หันมาเอาดีด้านการกวดวิชา หมอคนนี้ถูกเพื่อนสนิทกลุ่มหนึ่งจะด้วยหวังดีหรือประสงค์ร้ายก็ไม่ทราบ รุมสะกดจิตโดยวางแผนกันแล้วคอยว่าร้ายคนในบ้านและให้ตัวหมอเองเห็นว่าคนที่บ้านนี้เลว  บ่อยๆ เข้าหมอเลยหลงเชื่อแล้วมีเรื่องมีราวกับคนที่บ้านออกเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์อยู่ช่วงหนึ่ง

    นี่ล่ะครับถ้าเรานำแง่ดีของเรื่องนี้มาใช้ก็คือ ให้มีคนออกมาการันตีผลิตภัณฑ์ของคุณว่าใช้แล้วดี นู่นนี่ รับรองได้เลยครับว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ของคุณพุ่งกระฉูด หยุดไม่อยู่แน่นอน

เทคนิคที่ 9 : สูตรวิเศษของแมคคินเลย์

      แมคคินเลย์เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณอยากได้รับบริการเช่นใดคุณก็ต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นนั้น” หรือถ้าเป็นไทยๆ ก็มีคำพูดที่ว่า “ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ”  ความหมายก็คือ ถ้าอยากจะให้คนอื่นทำกับเราดีๆ เราต้องทำดีกับคนอื่นก่อน

      ในทางธุรกิจคุณต้องบริการคนอื่นเป็นอย่างดีคุณก็จะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทนจากคนอื่นด้วย แต่ถ้าให้บริการแย่ๆ กับคนอื่นผลก็จะสะท้อนกลับมาหาเราเช่นนั้นเสมือนกับกฎแห่งกรรมล่ะครับ

เทคนิคที่ 10 : การสร้างเงื่อนไขทางจิต ดาบสองคมของนักขาย

      เงื่อนไขทางจิตคือ “การทำให้ลูกค้ารู้สึกหรือมีสภาวะจิตใจคล้อยตามเรา” เช่น ทำให้ลูกค้ามีอารมณ์สนุกสนานไปกับเราด้วยในขณะเจรจา กรณีที่เราไปคุยเรื่องธุรกิจต้องดูสถานการณ์ด้วย บางเหตุการณ์คุยเรื่องเศร้าได้แต่โดยปกติแล้วแทบจะไม่มีโอกาสคุยเรื่องเศร้าเลยเพราะไม่มีใครอยากมาเศร้ากับเราหรอกครับ สังเกตไหมว่าหนังเศร้าไม่ค่อยทำเงินเท่าไร หนังสนุกสนานเฮฮาทำเงินมากกว่า ดังนั้นไม่ควรไปคุยเรื่องเศร้าเพราะจะเป็นดาบสองคมกลับมาทำร้ายเราเองครับ

      ยกตัวอย่างว่า ถ้าเราคุยเรื่องเศร้าให้ลูกค้าฟังเช่น “ ผมลำบากมากเลยไม่มีใครมาช่วยผมซื้อเลย” แบบนี้จะช่วยเราได้ครั้งเดียวเท่านั้นหรือเรียกว่าเขาช่วยซื้อเพราะความสงสาร อีกทั้งคือเมื่อเขาฟังไปเรื่อยแล้วเขาจะเริ่มมีความรู้สึกว่าไม่อยากคุยกับคุณ เพราะแทนที่เขาจะมีความสุขกลับต้องไปช่วยคุณซื้อของทั้งที่ลึกๆ แล้วเขาก็ไม่เต็มใจซื้อ ทำให้เขาไม่สบายใจ

      จากประสบการณ์ของผม ขอยืนยันได้เลยครับว่าในวงการธุรกิจ “ไม่มีใครอยากฟังเรื่องเศร้า” สังเกตไหมคนตะวันตกไม่ค่อยเน้นเรื่องเศร้า หรือหากเป็นเรื่องเศร้าเขาก็ต้องทำให้เป็นเรื่องตลกให้ได้เช่น ในหนังฝรั่งแนวโศกนาฎกรรม (Tragedy) เรื่องหนึ่งเขาใช้เพลงประกอบภาพยนตร์เป็นเพลง What  a Wonderful World ของหลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) ที่เนื้อหาเป็นการบรรยายถึงความสุขเป็นคนละแนวกับหนังเลย ในเนื้อเรื่องพ่อแกล้งหลอกลูกว่าพ่อต้องเล่นเกมส์ซ่อนหากับทหารเยอรมัน เมื่อต้องคอยพาลูกหลบหนีทหารเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  สุดท้ายพ่อก็โดนฆ่าทิ้ง โดยที่ลูกก็ไม่รู้ความจริง ซึ่งผู้เขียนบทและผู้สร้างพยายามทำให้เป็นเรื่องตลกบนความเศร้า ทั้งที่เรื่องจริงโดยเนื้อหาของหนังเป็นเรื่องเศร้าเพราะทหารเยอรมันกำลังตามฆ่าพ่อของเด็กที่เป็นชาวยิว

เทคนิคที่ 11 : คาถามหานิยมเพื่อเข้าสังคมอย่างราบรื่น

    นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากครับ เพราะเราต้องพบปะคนหลากหลายแบบและยิ่งต้องทำให้คนที่เข้าข่ายจะเป็นลูกค้าชื่นชอบเราด้วย ง่ายๆ ครับเราต้องตัวเป็น “พี่ใหญ่” ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องทำตัววางอำนาจนะครับแต่หมายถึงคนที่ใครก็อยากเข้าหา ยกตัวอย่างในบริษัท เราจะต้องเป็นคนที่น้องๆ  เข้ามาหาและขอคำปรึกษาด้วยเสมอซึ่งเราต้องปฏิบัติดังนี้ครับ

      เราต้องไม่ทำตัวเป็นพหูสูตไปในทุกๆ เรื่อง ต้องทำตัวเป็นนักสนทนาที่ดี ไม่ฟันธงเช่นการพูดว่า เธอกับแฟนเธอต้องเลิกกันแน่นะ เราต้องพูดจาให้มีเสน่ห์และเป็นคนที่มีสมอลทอล์ค (Small Talk คือการพูดเจ๊าะแจ๊ะ)  มักเรียกเพื่อนด้วยชื่อเล่นไม่เรียกชื่อจริง การพูดแบบไม่เป็นทางการจะรู้สึกสบายๆเวลาสนทนาด้วย  จัดว่าเป็นการสร้างเสน่ห์ในการขายความคิดอีกแบบหนึ่งด้วยครับ

เทคนิคที่ 12 : วิธีชนะมิตรและได้รับความร่วมมือจากผู้อื่น

    หัวข้อนี้เป็นชื่อหนังสือของเดล คาร์เนกี เรื่อง “การเอาชนะ(ใจ) มิตรและได้รับความร่วมมือจากผู้อื่น” เหมือนอย่างที่อับราฮัม ลินคอน เคยกล่าวไว้ว่า “วิธีเอาชนะศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตร” เอาเป็นว่าเรายังไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ขอแค่ได้รับความร่วมมือจากผู้อื่นเป็นอย่างดีก็พอครับ

    การชนะใจคนที่ไม่คุ้นเคยเพื่อให้ได้รับความร่วมมือนั้นต้องอาศัยหลักการของเดลง่ายๆเพียง 3 ข้อ คือ

    ไม่บ่น ต่อว่า หรือวิพากษ์วิจารณ์  ข้อนี้แม้แต่ภรรยาหรือสามีก็อยากให้ปฏิบัติด้วยเช่นกันครับ
    การชมเชยอย่างจริงใจในสิ่งที่เขาเป็น เช่น หากไปชมคนผิวดำว่าเขาผิวขาวนวลสวยมากเลยมีสิทธิ์ถูกด่าว่าปาก... แน่นอน หรือไปชมคนที่เขาอ้วนมากว่าหุ่นดีก็จะกลายเป็นการสร้างศัตรูแทนที่จะได้มิตร และอาจจะได้รับความบาดหมางแทนความร่วมมือในที่สุด

      เทคนิคการชมแบบไม่เสแสร้าง ก็คือ ให้เราหาสิ่งที่เราชอบจริงๆ ในตัวเขา ส่วนสิ่งที่ไม่ชอบไม่ต้องพูดเช่น เพื่อนเราตัวอ้วนมากแต่วันนี้ใส่ตุ้มหูสวยมาเลย แทนที่เราจะไปติเรื่องความอ้วนก็ให้เลี่ยงไปพูดเรื่องตุ้มหูที่เราชอบและคิดว่าสวยแทนว่า “วันนี้ตุ้มหูน่ารักจังเลย เข้ากับเธอมากนะ”

    การค้นให้พบถึงสิ่งที่เขากระหายมากที่สุด เพราะสิ่งเหล่านั้นจะเป็นตัวกระตุ้นแรงจูงใจที่สำคัญให้เขาทำในสิ่งที่เราอยากจะให้เขาทำ เช่น กรรมกรที่หาเช้ากินค่ำการเพิ่มค่าแรงให้เพียงวันละ 20 บาทก็สามารถสร้างแรงจูงใจได้ระดับหนึ่งแต่สำหรับเศรษฐีการเพิ่มรายได้ให้อีกวันละ 100 บาทแทบไม่มีความหมายอะไรเลย

      ครั้งหน้าเราจะมาคุยกันต่อถึงเทคนิคเด็ดๆที่สามารถขายความคิดอย่างได้ผลเกินคาดกันอีกครับ อยากได้มุกเด็ดๆในการขายและเจรจาต่อรองรวมถึงอยากทราบหลักสูตรการขาย การตลาดและเจรจาต่อรอง ท่านสามารถเข้าไปชม VDO การอบรมและพูดคุยกับอาจารย์ได้ที่ www.VichaiSalesAcademy.com  หรือwww.facebook.com/โรงเรียนนักขายและเจรจาต่อรอง แล้วพบกันครั้งต่อไปขอบคุณครับ

เทคนิคที่ 13 : ศิลปะการเห็นแก่ตัวอย่างชาญฉลาด

              ควรมองว่าคนรอบตัวเราที่เห็นแก่ตัวอย่างชาญฉลาดมีใครบ้าง เช่น ทุกครั้งที่เขาซื้อขนมมาให้เราเขามักจะใช้เราทำงานด้วย หรือทุกครั้งที่เขาให้คุณอะไรฟรีๆ เขาต้องได้อะไรกลับคืน คนเหล่านั้นล่ะครับที่เรียก “พวกเห็นแก่ตัวอย่างชาญฉลาด” โดยทั่วไปพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ทำอะไรก็หวังผลทุกคนล่ะครับ

              ซึ่งการเป็นนักขายก็ต้องใช้ทักษะนี้แต่ต้องมองในระยะยาวด้วยนะครับ ยกตัวอย่าง ผมจะลาออกจากบริษัทหนึ่งไปยังอีกบริษัทหนึ่ง งานเลี้ยงส่งผมมีการชวนเพื่อนพนักงานไปแต่มีบางคนบอกว่า “ไม่ไปหรอกก็พี่เขาออกไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เลี้ยงเรากลับคืน”  คนประเภทนี้เห็นแก่ตัวอย่างชาญฉลาดแบบครึ่งๆ กลางๆ  เพราะเขาหารู้ไม่ว่าเมื่อผมออกจากบริษัทผมพาคนไปอีกเป็นโขยงไปอยู่บริษัทใหม่ เงินเดือนดีกว่าเดิมตั้งเยอะเขาคงลืมคิดข้อนี้ไปคิดเพียงว่าจะไม่เลี้ยงผมเพราะไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสเลี้ยงคืนหรือเปล่า

เทคนิคที่ 14 : ศิลปะการขายความคิด  จงให้ผู้อื่นพูดแทนเรา

                จงอย่าพูดเองแต่ให้คนอื่นพูดขายความคิดแทนเรา เพราะจะทำให้สิ่งที่เราจะเสนอออกไปดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างในกรณีของผู้หญิงมีอายุมักจะเป็นห่วงเรื่องรูปร่างหน้าตา จึงได้ดูแลเป็นอย่างดีและเขาก็มั่นใจด้วยว่าตนเองยังดูสดใสอยู่ แต่เขาก็พูดออกมาตรงๆ ไม่ได้เพราะจะทำให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นการยกยอตัวเอง เมื่อจำเป็นต้องพูดถึงตัวเองเขาก็ต้องอาศัยคำพูดจากคนอื่นมาพูดโดยเขาอาจจะบอกว่าเวลาไปไหนกับลูกสาวมักมีคนมาทักว่าลูกเป็นน้องสาวแท้ที่จริงแล้วอยากบอกคนอื่นว่าเขาดูไม่แก่

                หรือสมมติว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเจ๊ศรีหัวหน้าแผนกบัญชี และเขาอยากให้คนอื่นรู้ด้วย ครั้นจะไปเที่ยวบอกคนโน้นคนนี้ว่า “วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน” ก็คงทำไม่ได้ดูน่าเกลียด เจ๊ศรีเลยต้องใช้วิธีให้เลขาของตัวเองเอาขนมไปให้น้องพนักงานและพูดแทนว่า “เมื่อเช้าเจ๊ศรีไปทำบุญวันเกิดมาเลยซื้อขนมมาฝากทุกคนด้วย”  เมื่อเรารู้แล้วจะไปกินขนมของเขาฟรีๆ ได้อย่างไรก็ต้องเลี้ยงข้าวเขากลับเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของเขา นี่เป็นตัวอย่างการอาศัยปากคนอื่นบอกสิ่งที่ตัวเองอยากจะบอกครับ

เทคนิคที่ 15 : เคล็ดลับการเพิ่มอานุภาพของคำพูด

                ความลับของการเพิ่มอานุภาพของคำพูดไม่ใช่การพูดเยอะๆ นะครับแต่เป็นการวางแผนก่อนพูด และดูว่าคู่แข่งสัญญาหรือให้ข้อเสนออะไรกับลูกค้าและให้กี่ข้อ เช่น ถ้าคู่แข่งสัญญาไว้ 5 ข้อ เคล็ดลับคือคุณต้องสัญญาให้มากกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งอาจจะ 5-6 ข้อก็ได้แต่ควรทำให้ได้ 8 ข้อเป็นเพราะเป็นสูตรที่จะทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากที่สุด (แค่สัญญาก็ชนะคู่แข่งแล้ว)

                แต่เมื่อสัญญาแล้วต้องทำให้ได้ด้วยนะครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาเราได้ยินนโยบายจากภาครัฐบาล ถ้าเขาพูดแล้วทำได้เราก็รู้สึกเชื่อใจ เชื่อมั่น แต่ถ้าเขาพูดแล้วไม่ทำหรือสัญญาไว้เฉยๆ เราก็คิดว่าเป็นพวกดีแต่พูดพาลให้หมดความเชื่อถือไปเสีย ก็เหมือนกันกับลูกค้าของเราล่ะครับ ถ้าเราทำไม่ได้ตามที่สัญญาไม่ว่าจะให้ข้อเสนอที่ดีกว่าคู่แข่งยังไงเขาย่อมไม่เชื่อใจเราในครั้งต่อไปแล้วล่ะครับ

เทคนิคที่ 16 : วิธีเล่าเรื่องโจ๊กที่สร้างมิตร

                สังเกตไหมครับผู้หญิงมักชอบผู้ชายที่อารมณ์ดี ซึ่งผมว่าไม่เฉพาะคุณผู้หญิงหรอกครับใครๆ ก็ชอบเรื่องตลก สนุกสนานกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ในวงการธุรกิจ สมัยก่อนผมเด็กๆ ก็เคยติดเสพอารมณ์เศร้านะ แต่ดูแล้วมันไม่มีอะไรสร้างสรรค์เลยเลิกดีกว่า หันมาทำทุกเรื่องให้มีแต่ความสนุก คุยก็คุยเรื่องโจ๊ก สังเกตไหมครับว่า หนังตลกจึงทำเงินได้มากกว่าหนังเศร้าและคนส่วนใหญ่มักจำชื่อหนังตลกได้แต่จำชื่อหนังเศร้าไม่ค่อยได้ หรืออาจเป็นเพราะไม่ค่อยมีคนนิยมทำหนังเศร้าแล้วจะเล่าอย่างไรให้คู่เจรจารู้สึกเป็นมิตรกับเรา

              เมื่อเล่าเรื่องตลก เราควรเล่าที่เกี่ยวกับความเปิ่น หรือความพลาดพลั้งของตัวเราเองครับ เช่น เล่าเรื่องความซุ่มซ่ามของตัวเองก็ได้ ไม่ควรนำเรื่องที่เป็นปมด้อยหรือล้อเล่นเรื่องของผู้อื่น เพราะผู้ฟังอาจจะรู้สึกว่าเราดูถูกคนอื่นด้วยครับ

เทคนิคที่ 17 : Pleasure and pain

                หมายถึง คนเราส่วนใหญ่มักต้องลำบากหรือเจ็บปวดมาก่อนที่จะประสบความสำเร็จเสมอ ถ้าเราอยากมีความสุขก็มักต้องแบกรับภาระความเจ็บปวดก่อนแล้วจึงค่อยมีความสุข ราวกับไม่มีความสุขใดได้มาฟรีๆ

              ตัวอย่างเช่น หากเราอยากมีรถแต่ไม่อยากมีปัญหาจุกจิกเรื่องเครื่องยนต์ก็ต้องกัดฟันซื้อรถป้ายแดงที่แพงกว่ารถมือสอง หรือหากไม่อยากรถเสียบ่อยเมื่อถึงฤดูฝน เราก็ต้องย่อมจ่ายเงินเพื่อดูแลเครื่องยนต์เป็นพิเศษถ้ารถเก่ามากอาจจะต้องยกเครื่องเลยก็ได้ สำหรับคุณผู้หญิงก็มักจะยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับรองเท้าดีๆ แพงๆ ที่สวมใส่สบาย ซึ่งตรงนี้เราก็ต้องเข้าใจครับถึงเราจะไม่มีเงินทองมากมายแต่เราก็ต้องยอมจ่ายเพื่อแลกกับสิ่งที่เราจะได้มากกว่าในอนาคต

เทคนิคที่ 18 : ศิลปะการโยนไม้

              หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วเราจำเป็นต้องคุยกับลูกค้าต่อ เราอาจจำเป็นต้องโยนเรื่องนั้นให้ไกลจากตัวหน่อย แต่ต้องทำอย่างมีศิลปะครับเพราะบางครั้งการทำแบบนี้ก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือเรียกว่าโยนไปโดนหัวคนอื่น แล้วเราควรจะพูดอย่างไรให้ดีกับทุกฝ่าย ลองมาดูตัวอย่างนี้กันครับ

                มีนักโทษมาหลบอยู่ในกุฏิพระผู้คุมตามมาจับ หากคุณเป็นพระคุณจะตอบเขาว่าอย่างไร? เพราะโกหกก็ไม่ได้ กรณีนี้อาจตอบแบบเลี่ยงบาลีทำนองว่า  “ตั้งแต่อาตมานั่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่อย่าว่าแต่นักโทษเลย หมายังไม่เห็นเลยสักตัว”  แต่ที่จริงแล้วพระเพิ่งมานั่งปฏิบัติธรรมเมื่อสักครู่นี้เองก่อนหน้านั้นท่านเป็นคนจัดที่ให้นักโทษหลบอยู่แล้ว

                ดังนั้นการบอกความจริงไม่หมดไม่ได้โกหกนะแต่เป็นศิลปะการโยนไม้ พูดอย่างไรไม่ให้บริษัทเสียหาย พูดอย่างไรไม่ให้เจ้านายโดนเล่นงาน เพราะถ้าเราพูดไปเจ้านายจะกลับมาเล่นงานเรา หากพูดไปบริษัทเสียหายเราก็แย่อาจตกงานไปด้วย หรือพูดไปทำให้หมู่คณะเสียหายเราก็ไม่ดีด้วย

เทคนิคที่ 19 : ทำงานต้องให้เกินเงินเดือน

                เราต้องทำงานให้เกินเงินเดือนครับ ถึงแม้ว่าบางครั้งรายได้จะน้อยแต่อาชีพขายความคิดอย่างเราเป็นอาชีพที่มีอนาคตมาก ยิ่งเราได้ฝึกฝนทุกวันแบบนี้ต่อไปค่าตัวเราย่อมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าคิดเพียงว่าบริษัทเขาจ้างเราและได้ลูกค้าจากเราไปตั้งเท่าไรไปแต่จ่ายค่าจ้างให้นิดเดียวซึ่งความคิดแบบนี้จะทำให้เราเลิกที่จะเป็นนักขายความคิด และไม่ก้าวหน้า สุดท้ายก็ไม่ขายเพราะคิดว่าไม่คุ้มที่ลงมือทำ ให้คิดว่าสิ่งที่เราได้คือประสบการณ์ที่มีค่ามากที่สุด

                “เพราะการขายความคิดบ่อยๆ จะเป็นการเหลาคมความสามารถในการเจรจาต่อรองของเรา  เรายิ่งขายก็ยิ่งเก่ง” สมัยเริ่มต้นผมเองบางครั้งบางอย่างต้องขายฟรีๆ โดยไม่ได้อะไรเลยก็มี แต่ในระยะยาวอาชีพขายความคิดแบบนี้ก็ทำให้ผมก้าวขึ้นมาได้ถึงวันนี้ครับ

                และเมื่อเรามีประสบการณ์มากๆเข้า ก็สามารถเพิ่มทักษะการขายความคิดพร้อมให้คำปรึกษา (Conceptual and Consultative Selling)  ได้อีกเพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ขายสินค้าหรอกเราขายความคิด เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาแพง นั่นไม่ใช่เพราะของมีคุณภาพเพียงอย่างเดียวเขาจ่ายเผื่อค่าความคิดด้วย ตรงนี้นอกจากงานขายที่ทำแล้วเราก็สามารถใช้ประสบการณ์ที่สะสมมาช่วยให้คำปรึกษาบริษัทได้อีกทั้งช่วงก่อน, ระหว่างและภายหลังเมื่อสินค้าตัวนี้มีปัญหา หรือช่วยต่อยอดให้สินค้าตัวต่อไปอีก ทำให้ธุรกิจของเขาเติบโต เห็นไหมครับว่าถ้าเราไม่ท้อแท้กับค่าตอบแทนที่น้อยในช่วงเริ่มต้นเสียก่อน ต่อไปเราจะได้ผลตอบแทนเพิ่มตามความสามารถของเราแน่นอน

Re: เทคนิคการขายความคิด
708

Re: เทคนิคการขายความคิด

การวางแผนการขายอย่างมีคณภาพ
กิจกรรมต่างๆในการวางแผนการขาย
ความสำคัญในการวางแผนการขายอย่างมีคุณภาพ
องค์ประกอบในการวางแผนการขายอย่างมีคุณภาพ
วงจรการวางแผนการขาย
การวิเคราะห์สถานการณ์
36 จุดอ่อนของพนักงานขายในกิจกรรมการขาย
Workshop การวางแผนการขาย
การขายเชิงกลยุทธ์
การขายตนเอง
การขายตนเองให้กับตนเอง
การขายตนเองให้กับผู้อื่น
การขายตนเองและผลิตภัณฑ์ของคุณ
อัตราส่วนเวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนในการขาย
Pyramid of Business Success
พลังและสไตล์การขาย
สูตรลับ  ESP
Interpersonal Intelligence และ Intrapersonal Intelligence
สิ่งที่นักฟังที่ดีพึงระวัง
เส้นโค้งแห่งความสนใจตามทฤษฎี
กฎทองของการสร้างความสนใจ
ระวังภาษากายของคุณให้ดี
ที่มาของความคิดที่เป็นลบ
ความเชื่อที่จำกัดตนเอง
การใช้ความจำให้เป็นประโยชน์
การสนใจอยู่ที่การเอาใจ
ให้คำพูดทำงานแทนคุณ
วงจรการอบรมเพื่อ Customer Care
หลักการนำเสนอการขายด้วย Presentation
การเข้าพบลูกค้าแบบสร้างสรรค์
การแนะนำสินค้าแบบมีผลในทางสร้างสรรค์
ผลประโยชน์ที่แท้จริงที่ลูกค้าต้องการ
วงจรการขายแบบจูงใจ



INSURANCETHAI.NET
Line+