INSURANCETHAI.NET
Tue 14/10/2025 19:41:01
Home » Uncategorized » เคดับบลิวไอ ประกันภัย (KWI insurance) : อัพเดท\"you

เคดับบลิวไอ ประกันภัย (KWI insurance) : อัพเดท

2025/10/14 428👁️‍🗨️

คปภ. ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 28/2568
สั่ง “เคดับบลิวไอ ประกันภัย” เร่งเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ภายในเดือนกรกฎาคมนี้
ย้ำคำสั่ง “หยุดรับประกันภัยใหม่เป็นการชั่วคราว” ไว้เช่นเดิม เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รายงานว่า
สำนักงาน คปภ. ยังคงเดินหน้าควบคุม บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) อย่างเข้มงวด
โดยตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 12/2568 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2568
บริษัท เคดับบลิวไอประกันภัย จำกัด (มหาชน) ถูกสั่งให้ดำเนินการแก้ไขฐานะการเงินและ การดำเนินงาน รวมถึงหยุดรับประกันภัยใหม่เป็นการชั่วคราว

ปัจจุบันบริษัทได้มีความคืบหน้าในการดำเนินการ อาทิ
การเจรจาประนอมหนี้ค่าสินไหมทดแทน
การเจรจาซื้อขายกิจการ
มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท
นายทะเบียนเล็งเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

สำนักงาน คปภ. จึงได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 28/2568 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1. บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ต้องดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท อย่างเร่งด่วนภายในเดือนกรกฎาคม 2568 ตามแผนที่แจ้งไว้ต่อนายทะเบียน และต้องเพิ่มทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอจนกว่าการเจรจาซื้อขายกิจการจะสำเร็จ

2. บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ยังคงอยู่ภายใต้คำสั่งให้หยุดรับประกันภัยใหม่เป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 12/2568 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัย

“สำนักงาน คปภ. ยืนยันว่า คำสั่งนายทะเบียนในครั้งนี้ จะไม่กระทบต่อความคุ้มครองและการได้รับชดใช้เงินหรือ ค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัยตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยแต่อย่างใด หากประชาชนผู้เอาประกันภัย มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย สามารถติดต่อสอบถามหรือร้องเรียนได้ที่สายด่วน คปภ. หมายเลข 1186 หรือผ่านทางเว็บไซต์ www.oic.or.th ซึ่งพร้อมให้บริการข้อมูล”

เร่ง คปภ. ทำ แผนดูแลผู้เอาประกัน หลัง บ. KWI เสี่ยงปิดกิจการ

สภาผู้บริโภคชี้ผู้ทำประกันต้องได้รับการคุ้มครองตามสิทธิ มี “แผนดูแลผู้เอาประกัน” หลังพบบริษัทประกันชีวิตประสบปัญหาการเงิน หรือต้องปิดกิจการ หน่วยงานกำกับดูแลต้องเร่งกำกับดูแลผู้ทำสัญญา

การทำประกันชีวิตเป็นการตัดสินใจด้านการเงินที่สำคัญ เนื่องจากเป็นสัญญาระยะยาวที่ผูกพันกับชีวิตและอนาคตของผู้บริโภค การเลือกซื้อกรมธรรม์ประเภทออมทรัพย์หรือบำนาญหมายถึงการวางแผนเก็บออมและคาดหวังผลตอบแทนต่อเนื่องในระยะยาว แต่ความเชื่อมั่นดังกล่าวอาจถูกสั่นคลอน

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีคำสั่งให้ บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต (KWI) จำกัด (มหาชน) จัดทำรายงานตรวจสอบพิเศษ (Special Audit) และส่งผลการตรวจสอบภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 สถานการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้บริโภคต้องเพิ่มความรอบคอบก่อนการตัดสินใจทำประกัน

ความกังวลของผู้บริโภคต่อสิทธิในอนาคต

สิ่งที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุดกับ บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต (KWI) ในประเด็นว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเฉพาะกรมธรรม์แบบออมทรัพย์ที่กำลังจะครบกำหนดรับเงินคืนในอีก 1 – 3 ปีข้างหน้า หรือกรมธรรม์แบบบำนาญที่ต้องจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้เอาประกันเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณหรือสิ้นอายุขัย หากบริษัทประกันไม่สามารถดำเนินกิจการได้ต่อไป ผู้บริโภคเกิดความกังวลว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อรักษาสิทธิ และจะได้รับเงินคืนหรือผลประโยชน์ครบถ้วนตามที่สัญญาไว้หรือไม่

ขณะที่ในทางปฏิบัติยังมีข้อกังวลว่า การจ่ายชดเชยของกองทุนประกันวินาศภัยจะครอบคลุมกรมธรรม์ระยะยาว เช่น ประกันบำนาญ ที่กำหนดจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณหรือสิ้นอายุขัย ได้ครบถ้วนและเป็นธรรมเพียงใด ซึ่งขณะนี้กองทุนประกันวินาศภัยยังไม่สามารถชำระค่าชดเชยจากประกันโควิด 19 ได้ครบถ้วน และยังคงมีหนี้ค้างชำระกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี จึงจะสามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วน

สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้ คปภ. เร่งสร้างความชัดเจน

ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า
ผู้บริโภคต้องการคำตอบที่ชัดเจนจาก คปภ. ว่า …
หาก บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต (KWI) ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
ผู้เอาประกันจะต้องดำเนินการอย่างไร
ช่องทางใดที่จะสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินคืน
กองทุนประกันชีวิตจะเข้ามาทำหน้าที่จ่ายชดเชยได้อย่างไร

“สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้ คปภ. กำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการชดเชยและเยียวยาผู้เอาประกันที่ยังอยู่ในสัญญา พร้อมทั้งชี้แจงความรับผิดชอบต่อกรณีที่ยังอนุญาตให้บริษัทจำหน่ายกรมธรรม์ ที่มีความเสี่ยงในอนาคต รวมถึง คปภ.ควรเร่งออกมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับผู้เอาประกันของ KWI ประกันชีวิต พร้อมจัดให้มีช่องทางสื่อสารโดยตรง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการได้อย่างถูกต้อง” โชติวิทย์ กล่าว

ขณะเดียวกันได้เน้นย้ำว่า การซื้อประกันชีวิตเป็นสัญญาทางการเงินระยะยาวที่ผู้บริโภคมอบความไว้วางใจต่อบริษัทและหน่วยงานกำกับดูแล ดังนั้น หน่วยงานกำกับดูแลต้องทำหน้าที่อย่างเข้มงวด โปร่งใส และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าเมื่อเกิดวิกฤตขึ้น จะมีระบบการคุ้มครองที่ทำงานได้จริง และไม่ปล่อยให้ผู้บริโภคต้องเผชิญความเสี่ยงเพียงลำพัง

บทเรียนจากกรณีบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต

กรณีของ KWI ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทประกันภัยต้องเผชิญปัญหาด้านฐานะการเงินและถูกจับตามองจากหน่วยงานกำกับ ในอดีตมีหลายบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย และต้องเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีโดยกองทุนประกันวินาศภัยหรือกองทุนประกันชีวิต ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อย้อนหลังได้จากเว็บไซต์กองทุนประกันวินาศภัย กรณีเหล่านี้สะท้อนว่า ผู้บริโภคควรตระหนักว่าการซื้อประกันไม่ใช่เพียงการพิจารณาผลตอบแทนหรือเบี้ยประกันที่จ่าย แต่ต้องคำนึงถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัทและมาตรการคุ้มครองของภาครัฐด้วย

ขณะที่บทเรียนจากบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตแสดงให้เห็นว่า
เมื่อบริษัทมีปัญหาทางการเงิน ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมตกอยู่กับผู้เอาประกันโดยตรง ทั้งการล่าช้าในการชดเชยสิทธิ การจำกัดวงเงินคุ้มครอง หรือความไม่ชัดเจนของเงื่อนไขในการจ่ายผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่ผู้บริโภคควรพิจารณาอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจทำสัญญาใหม่

สภาผู้บริโภคแนะนำว่า

ผู้ที่กำลังพิจารณาทำประกันชีวิตกับ KWI หรือบริษัทใด ๆ ก็ตาม ควรตรวจสอบสถานะใบอนุญาตของบริษัทกับ คปภ. อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงอ่านเงื่อนไขกรมธรรม์โดยละเอียด โดยเฉพาะสิทธิการเวนคืนกรมธรรม์ การจ่ายผลประโยชน์กรณีครบกำหนด และเงื่อนไขกรณีบริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้บริโภคควรติดตามข่าวสารจาก คปภ. และกองทุนประกันชีวิตอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสิทธิของตนเอง

อีกทั้ง เมื่อพิจารณารูปแบบประกันมี 4 แบบหลัก ได้แก่
1. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ให้ความคุ้มครองชีวิตระยะสั้นหรือคุ้มครองหนี้สินค้า มีเวลาคุ้มครองที่ชัดเจน เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี เป็นรูปแบบประกันที่ไม่ค่อยนิยมในไทยมากนัก เนื่องจากเป็นเบี้ยจ่ายทิ้ง และเมื่อครบกำหนดอายุกรมธรรม์แล้วไม่มีเงินเหลือคืนแก่ผู้ถือกรมธรรม์ แต่มีข้อดีคือ ให้ทุนประกันคุ้มครองที่สูงกว่าประกันรูปแบบอื่น

2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ให้ความคุ้มครองระยะยาวจนเสียชีวิต หรือสูงอายุ เช่น 90 ปี หรือ 99 ปี มีทั้งแบบชำระเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว เหมาะกับผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว โดยเบี้ยที่ส่งไปไม่ใช่เบี้ยจ่ายทิ้งทั้งหมด เนื่องจากมีมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ตามเวลาการคุ้มครอง แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินสามารถขอกู้หรือเวนคืนกรมธรรม์เพื่อนำเงินมาใช้ได้

3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นประกันผสมแบบระหว่างการคุ้มครองชีวิตและการออมเงิน เนื่องจากประกันจะจ่ายเงินคืนเมื่อเสียชีวิตหรือครบสัญญา ถือเป็นเครื่องมือออมเงินที่หลายคนสนใจซื้อเพื่อสร้างวินัยการออมระยะยาว และได้รับอัตราผลตอบแทนสูงกว่าฝากธนาคาร โดยเบี้ยประกันที่จ่ายมีจำนวนสูงขึ้นตามจำนวนเงินออมที่ต้องการในระยะยาว

4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ให้ความคุ้มครองรายได้ในช่วงเวลาเกษียณ โดยได้รับเงินคืนในรูปแบบคล้ายเงินบำนาญเป็นงวด ๆ หลังอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี และได้รับเงินคืนจนครบกำหนดสัญญาหรือเสียชีวิต ถือเป็นประกันที่เน้นการออมเงินเป็นหลัก จึงคิดเบี้ยประกันที่สูง และให้ความคุ้มครองน้อยกว่าประกันชีวิตแบบอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดที่แตกต่างต่างกัน จึงต้องศึกษาข้อมูลและรายละเอียดอย่างรอบด้าน อีกทั้งผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการทำสัญญาที่มีเบี้ยประกันเกินกว่าที่จะรับภาระได้ และควรพิจารณาความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันเป็นหลัก ไม่ควรพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนที่เสนอมาในแง่ของดอกเบี้ยหรือเงินคืนเท่านั้น หากผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทำสัญญาประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ สามารถปรึกษา – ร้องเรียนกับ สายด่วน คปภ. โทร. 1186 ร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://complaintportal.oic.or.th/ หรือร้องเรียนกับสภาผู้บริโภค โทร. 1502 ร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://complaint.tcc.or.th/complaint

เราผู้บริโภค ต้องตรวจสอบข้อมูลก่อนการซื้อประกันเสมอ
สิ่งแรกและสำคัญที่สุด คือ ความมั่นคงของบริษัท ซึ่งอาจตรวจสอบจากประวัติ และ การประกอบการที่ผ่านมา ทรัพย์สิน ชื่อเสียง อาจค้นหาในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีเวลา ก็ใช้บริการโบรกเกอร์ตัวแทนที่ เป็นตัวกลางประกันภัย ซึ่งก็ควรต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือ อาจดูจากระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจ ซึ่งดูจากเว็บไซต์ได้ ว่าก่อตั้งมาเมื่อไร ซื้อต่อมาหรือไม่ ช่องทางการติดต่อต่างๆ สะดวกหรือไม่ มีความเป็นมืออาชีพหรือไม่ เป็นต้น

บอร์ด คปภ. เห็นชอบให้นายทะเบียนสั่ง “เคดับบลิวไอประกันภัย” หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว หลังไม่ยื่นส่งงบ-ฐานะการเงินอ่อนแอ สั่งห้าม “กรรมการ-พนักงาน-ลูกจ้าง” สั่งจ่ายเงิน-เคลื่อนย้ายจำหน่ายทรัพย์สิน

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า วันนี้ (22 พ.ค. 2568) ที่ประชุมคณะกรรมการ คปภ. (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 6/2568 ได้มีมติเห็นชอบให้ บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 12/2568 ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ได้ปรากฏพฤติการณ์และหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กระทำการฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดในกรณี ดังต่อไปนี้

(1) ไม่จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด

(2) ไม่ยื่นงบการเงิน สำหรับรอบปีปฏิทิน พ.ศ. 2567 ที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้ว ภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบปีปฏิทิน อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 47 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบข้อ 9 (1) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา ในการจัดทำและยื่นงบการเงินของ บริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

(3) ไม่ยื่นรายงานการดำรงเงินกองทุนประจำปี 2567 ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี ภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นปีปฏิทิน อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 27/5 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบข้อ 6/1 (1) และข้อ 6/3 (1) แห่งประกาศนายทะเบียนเรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการดำรงเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 และ ที่แก้ไขเพิ่มเติม

(4) ไม่ยื่นรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและกิจการ รายเดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2568 ภายในสิ้นเดือนถัดไป อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบข้อ 7 (3) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา ในการจัดทำและยื่นรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและ กิจการของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

(5) ไม่ยื่นงบการเงินรายไตรมาส 1/2568 ที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้วภายใน 15 วันนับแต่วันสุดท้ายของไตรมาส อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 47 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบข้อ 9 (2) แห่งประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา ในการจัดทำและยื่นงบการเงินของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

นอกจากนี้ บริษัทได้ทำข้อตกลงกับบริษัทแห่งหนึ่งโดยบริษัทดังกล่าวตกลงสนับสนุนทางการเงินเพื่อให้บริษัทนำไปชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาเมื่อคดีถึงที่สุด และตั้งเป็นรายการลูกหนี้จากการโอนภาระหนี้สิน (Transfer Liability) แต่ปัจจุบันมีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับการด้อยค่า เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีฐานะการเงินที่มีความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานต่อเนื่อง (Going concern) จากผลขาดทุนสุทธิ จึงไม่มีความสามารถในการชำระหนี้หรือสนับสนุนทางการเงินแก่กลุ่มบริษัทได้

และแม้ว่าบริษัทจะมีแผนในการขายกิจการหรือหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ แต่บริษัทยังคงต้องชำระหนี้ที่ถูกฟ้องร้องค่าเสียหายตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เนื่องจากบริษัทดังกล่าวอาจไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินสำหรับกรณีดังกล่าวอีกต่อไป จึงควรต้องบันทึกรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ทำให้มีความเสี่ยงที่อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนอาจจะต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แต่บริษัทไม่ดำเนินการ ทำให้ฐานะการเงินของบริษัทไม่น่าเชื่อถือ

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น เป็นเหตุให้ไม่สามารถประเมินได้ว่าบริษัทมีฐานะและการดำเนินการที่มั่นคง เป็นไปตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำรงเงินกองทุน และสินทรัพย์สภาพคล่อง การจัดสรรเงินสำรอง การจัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพันตามสัญญาประกันภัย การรายงานและการรับรองการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย การประเมินราคาทรัพย์สินและหนี้สิน

นายทะเบียนจึงเห็นว่า บริษัทมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ตามข้อ 5 (3) (4) และ (14) แห่งประกาศนายทะเบียน เรื่อง กำหนดกรณีที่ถือว่าบริษัทประกันวินาศภัยมีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย พ.ศ. 2567

เพื่อให้การกำกับดูแลและติดตามการแก้ไขปัญหาฐานะและการดำเนินการของบริษัทเป็นไปอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งการติดตามความมั่นคงทางการเงินรวมถึงป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชน ประกอบกับเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไป จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์สาธารณะ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบกับ มติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ในการประชุมครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 นายทะเบียน

ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จึงมีคำสั่งให้บริษัทดำเนินการดังต่อไปนี้

ข้อ 1 หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว

ข้อ 2 นำส่งแผนการแก้ไขฐานะการเงินต่อสำนักงาน คปภ. รวมทั้งแก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพัน และดำรงเงินกองทุนให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนหรือผู้สอบบัญชีหรือบริษัทตรวจพบ

ข้อ 3 ให้บริษัทจัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 และจัดสรรสินทรัพย์ไว้สำหรับหนี้สินและภาระผูกพัน ตามสัญญาประกันภัยตามมาตรา 27/4 ให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้

ข้อ 4 ให้บริษัทปรับปรุงการบันทึกรายการบัญชีให้ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงและเชื่อถือได้ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้

ข้อ 5 ให้บริษัทยื่นงบการเงินและรายงานทางการเงินดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งนี้

(1) งบการเงินสำหรับรอบปีปฏิทิน พ.ศ. 2567 ที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแบบไม่มีเงื่อนไข หรือแบบมีเงื่อนไข ในลักษณะที่ไม่เป็นเหตุให้บริษัทมีฐานะการเงินหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน

(2) รายงานการดำรงเงินกองทุนประจำปี 2567 ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี

(3) งบการเงินรายไตรมาส 1/2568 ที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว

(4) รายงานการดำรงเงินกองทุนรายไตรมาส 1/2568 ที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว

(5) รายงานเกี่ยวกับฐานะการเงินและกิจการ รอบเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และรายไตรมาส 1/2568 ที่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงและเชื่อถือได้

ข้อ 6 ให้บริษัทจัดทำรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามคำสั่งนี้ และนำส่งต่อนายทะเบียนทุก 7 วันจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ข้อ 7 ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาฐานะและการดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียนนี้ได้อย่างถูกต้องครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดข้างต้น หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทมีการดำเนินการที่อาจเข้าข่ายการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพิ่มเติม หรือนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่า หากรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดข้างต้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน นายทะเบียนจะดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ต่อไป

อนึ่ง ตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 บัญญัติให้เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้บริษัทหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ห้ามมิให้กรรมการ พนักงานและลูกจ้างของบริษัทสั่งจ่ายเงิน ของบริษัท หรือทำการเคลื่อนย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัท เว้นแต่เป็นการจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแก่พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทตามปกติสำหรับการจ่ายเงินอื่นให้เป็นไปตามที่นายทะเบียนกำหนด รวมถึงให้บริษัทรายงานเป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบถึงบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ทั้งหมดของบริษัทภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด

ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินและการดำเนินการตามคำสั่งนายทะเบียนนี้ข้อใดข้อหนึ่งได้อย่างครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดข้างต้น หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัทมีการดำเนินการ ที่อาจเข้าข่ายการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพิ่มเติม หรือนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่า หากรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดข้างต้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน นายทะเบียนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารของบริษัท สำนักงาน คปภ. จะตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ การออกคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าวจะไม่กระทบในส่วนของความคุ้มครองและการได้รับชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนของผู้ประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยที่มีต่อบริษัท โดยบริษัทยังมีหน้าที่ดูแลผู้เอาประกันภัย/ประชาชนเป็นไปตามข้อกำหนดแห่งสัญญาประกันภัยทุกประการหากผู้เอาประกันภัย/ประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/breaking-news/news-1816023





สอบถาม บริษัทประกันภัย เจ้าของผลิตภัณฑ์ หรือ ตัวแทน/นายหน้า ทั่วประเทศ



คอมเม้นท์ที่เพจ 💸 สินเชื่อ




up arrow